รอบที่สอง หมดแล้วหมดเลย ตัดทุเรียนกลางกรุง @เกษตรบางเขน เพิ่มอีก 5 ผลสุดท้าย ของปีนี้ นำเงินรายได้สมทบสร้างโรงพยาบาลเกษตรศาสตร์ ส่วนทุเรียนผลอื่นๆที่เหลือ ทางภาควิชาพืชสวนขอเก็บไว้เป็นข้อมูลงานวิจัย และทดสอบคุณภาพต่อไป

สืบเนื่องจาก การตัดผลทุเรียนกลางกรุง@เกษตรบางเขน เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ฤกษ์งามยามดี เปิดตัวทุเรียนและเก็บเกี่ยวชุดที่ 2 “ทุเรียนกลางกรุง@เกษตรบางเขน” ณ แปลงทดลอง 2 เรือนองุ่นปวิณ ปุณศรี ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดย ดร.ดำรงค์ ศรีพระรา ม รักษาการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นประธานตัดผลทุเรียนซึ่งปีนี้ได้ผลผลิตเพิ่มเป็น 2 เท่า จากปี 2566  คือจำนวนประมาณ 60 ผล หลังจากที่ปีที่แล้วเกิดปัญหาจากไรแดงและเชื้อราเข้าทำลายจนไม่สามารถติดผลได้

ทั้งนี้ ทีมวิจัยจากภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พร้อมด้วย คณบดีคณะเกษตร รศ.ดร.ธานี ศรีวงศ์ชัย และหัวหน้าภาควิชาพืชสวน รศ.ดร.พัชรียา บุญกอแก้วยังได้ให้ข้อมูลเชิงลึกในการแก้ไขปัญหาจากไรแดง และ เชื้อรา แก่สื่อมวลชน  ดังนี้

 

ปี พ.ศ. 2566 พันธุ์ทุเรียนที่ออกดอกติดผล ณ แปลงทดลอง 2 เรือนองุ่นปวิณ ปุณศรี เป็นครั้งแรก ประกอบด้วยพันธุ์กบสุวรรณ มูซานคิง หนามดำ และจันทบุรี 9  ส่วนพันธุ์หมอนทอง สาลิกา มือทองลินจง หลงลับแล จันทบุรี 1 และจันทบุรี 4 ไม่ออกดออกติดผล

ในปี พ.ศ. 2567 ทุเรียนต้นเดิมที่ออกดอกติดผลในปี พ.ศ.2566 ออกดอกทั้ง 4 พันธุ์ และพันธุ์หมอนทอง แต่ทุกพันธุ์ไม่ติดผล เนื่องจากช่วงที่เริ่มออกดอกประมาณเดือนธันวาคม 2566 มีไรแดงเข้าทำลายที่ใบแก่ (เป็นชุดใบที่เตรียมพร้อมสำหรับใช้เพื่อการออกดอก) และบางส่วนเข้าทำลายดอก เมื่อดอกบาน จึงไม่สามารถติดผลได้ เพราะต้นทุเรียนมีอาหารสะสมน้อย ดอกจึงร่วงทั้งหมด หลังจากนั้นยังมีเชื้อรา Fusarium เข้าทำลายต้นทุเรียน มีลักษณะอาการยอดแห้งจากปลายกิ่งลงมา และเริ่มสังเกตได้จากไม่มีการแตกยอดใหม่ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 จากนั้นประมาณเดือนมิถุนายน 2567 พบอาการรุนแรงมาก โดยใบร่วงเกือบหมดทั้งต้น โดยเฉพาะพันธุ์หมอนทอง จันทบุรี 9 และสาลิกา ส่วนพันธุ์ที่ใบร่วงเหลือใบน้อยมากประมาณ 20% ได้แก่ จันทบุรี 4 หนามดำ มูซานคิง ในขณะที่พันธุ์กบสุวรรณเหลือใบประมาณ 40-50% แนวทางแก้ไข ใช้สารเคมีกำจัดเชื้อรา Fusarium ผสมกับน้ำส้มควันไม้ ฉีดพ่น 3 ครั้งทุกสัปดาห์ติดกัน จากนั้นพบว่าทุเรียนเริ่มแตกใบอ่อน/ผลิใบอ่อนออกมา 

สำหรับการผลิตทุเรียนในปี พ.ศ. 2567 และเก็บผลผลิตในปีพ.ศ. 2568 นี้การให้น้ำ ให้ปุ๋ย แตกต่างไปจากปี พ.ศ. 2566เนื่องจากสภาพอากาศที่แตกต่างออกไป เช่น มีช่วงแล้งสลับฝนตกตั้งแต่ระยะช่อดอก จำเป็นต้องให้ปุ๋ยที่มี K เป็นระยะทั้งการให้ทางดินและทางใบ 

ดังนั้นเทคนิคสำคัญในการปลูกทุเรียนให้ได้ผลผลิตในปี พ.ศ. 2568 มีดังนี้
1.ทำให้ต้นมีอาหารสะสมเพียงพอ โดยเพิ่มการให้อาหารทางใบบ่อยขึ้น (น้ำตาลซอร์บิทอล และกรดอะมิโม) รวมทั้งธาตุอาหารเสริม ได้แก่ เหล็ก สังกะสี ทองแดง ให้ทุก 10 วัน ติดต่อกัน 6 ครั้ง 
2.ประมาณเดือนธันวาคม 2567 ต้นถูกบังแสงจากเงาของต้นนนทรี  ทุเรียนสังเคราะห์ด้วยแสงได้น้อย ต้องมีการให้อาหารเสริมทางใบ ได้แก่ น้ำตาลซอร์บิทอล และกรดอะมิโน 
3.ต้นทุเรียนต้องเผชิญกับความแล้งสลับฝนตกแล้วได้รับอุณหภูมิต่ำเป็นเวลานาน ต้องมีการจัดการน้ำอย่างเหมาะสม
4.ช่วงจังหวะดอกบานประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2568ฝนตกหนัก ซึ่งเป็นปัญหาในการผสมเกสร ต้องใช้สารควบคุมการเจริญเติบโตพืชกลุ่ม ออกซิน (NAA) 4.5% ฉีดพ่นเพื่อช่วยการติดผล
5.ในปี 2566 ใช้เทคนิคการผสมเกสรด้วยวิธีการปาดดอกทุเรียน ทำให้ควบคุมปริมาณดอกที่เหมาะสมในแต่ละกิ่ง ส่งผลให้ได้ผลผลิตที่มีรูปร่างสมบูรณ์ไม่บิดเบี้ยว สำหรับปี พ.ศ. 2568 นี้ ใช้เทคนิคการผสมเกสรด้วยวิธีปัดดอก ซึ่งจะพบจำนวนผลที่มีลักษณะบิดเบี้ยวเกิดขึ้นมากกว่า

 

ในปี พ.ศ.2568 ทุเรียนออกดอก ติดผล ทั้งหมด 5 พันธุ์จำนวนประมาณ 60 ผล ได้แก่ 

1. พันธุ์มูซานคิง ไว้ผลจำนวน 15 ผล  ปี 2566 (5 ผล)
2. พันธุ์หนามดำ ไว้ผลจำนวน 1 ผล  ปี 2566 (10 ผล)
3. พันธุ์กบสุวรรณ ไว้ผลจำนวน 36 ผล ปี 2566 (13 ผล)
4. พันธุ์จันทบุรี 9 ไว้ผลจำนวน 1 ผล ปี 2566(5 ผล)
5. พันธุ์จันทบุรี 1 ไว้ผลจำนวน 7 ผล ซึ่งออกเป็นครั้งแรก
(ส่วนพันธุ์หมอนทองออกดอก แต่ไม่ติดผล)

สำหรับการตัดทุเรียนในครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 2 โดยปีแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2566 โดย ดร.จงรัก วัชรินทร์รัตน์ อธิการบดีในขณะนั้นได้ให้เกียรติมาตัด และผลผลิตที่ได้นำไปประมูลได้เงินสมทบทุนสร้างโรงพยาบาล จำนวน 66,080 บาท

ดร.ดำรงค์ ศรีพระราม รักษาการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า องค์ความรู้ที่ได้จากการปลูกทุเรียนของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จะส่งมอบต่อให้กับสังคม โดยภาควิชาพืชสวนได้จัดทำเป็นหนังสืออิเลคทรอนิกส์ สามารถดาว์โหลดได้ที่ https://ebook.lib.ku.ac.th/ebook27/ebook/20230194/#p=1และในส่วนของผลทุเรียนกบสุวรรณที่ตัดวันนี้ จะไม่เปิดขาย แต่จะเปิดให้ผู้สนใจบริจาคจำนวน 8 ผลละ 5,000 บาท (ราคาเดียวกับปี 2566) เพื่อนำรายได้สมทบทุนการก่อสร้างโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

โดย รอบที่หนึ่ง ได้มีผู้ใจบุญบริจาคไปทั้งหมด 8 ผล แล้ว แต่ยังไม่เพียงพอต่อจิตศรัทธาของผู้ที่ต้องการบริจาคและสนับสนุนผลงานวิจัยไทย ที่ปลูกด้วยความใส่ใจ และศาสตร์การเกษตรที่ลึกซึ้งพร้อมผลักดันให้เมืองใหญ่สามารถผลิตผลไม้คุณภาพระดับพรีเมียมได้จริง

รศ.ดร.พัชรียา บุญกอแก้ว หัวหน้าภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร จึงพิจารณาตัดทุเรียนเพื่อการบริจาค อีกเป็นรอบที่สอง จำนวน 5 ผล รอบสุดท้าย ของปีนี้ ส่วนทุเรียนผลอื่นๆที่เหลือ ทางภาควิชาพืชสวนขอเก็บไว้เป็นข้อมูลงานวิจัย และทดสอบคุณภาพต่อไป

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มูลนิธิโรงพยาบาลเกษตรศาสตร์ ร่วมกับ ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร จึงขอเชิญเป็นเจ้าของ ได้บุญ และอิ่มอร่อย กับทุเรียนคุณภาพสูงที่ปลูกในเมืองครั้งแรก ชุดที่ 2 สร้างสรรค์โดยภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ในการดูแล อีกทั้งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมปลอดภัยทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคและภาคภูมิใจในงานวิจัยไทย 

ร่วมกันอุดหนุนทุเรียนกลางกรุง@เกษตรบางเขน ชุดที่ 1 พันธุ์กบสุวรรณ  รอบที่ 2 จำนวน  5 ผล ราคาผลละ 5,000 บาท (ตัดผลทุเรียน วันที่ 22 พ.ค.68) นำเงินรายได้สมทบสร้างโรงพยาบาลเกษตรศาสตร์ ติดต่อได้ที่ นางสาวดีน่า อามินเซ็น (ผู้ช่วยวิจัย ห้องปฏิบัติการสรีรวิทยาไม้ผล) โทรศัพท์ 0991362441

*** ติดต่อและรับทุเรียน ที่แปลงทดลอง 2 เรือนองุ่นปวิณ ปุณศรี ได้ในวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 09 : 00-17 : 00 น. โดยส่งสลิปการโอนเงินให้กับนางสาวดีน่า ก่อนนัดรับผลทุเรียน

สำหรับทุเรียนกบสุวรรณ กับ หมอนทองต่างกันอย่างไร นั้น อาจารย์รัฐพล ฉัตรบรรยงค์ ภาควิชาสวน คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า กบสุวรรณ ถูกขนานนามว่าเป็น "ราชินีของทุเรียนตระกูลกบ" เนื่องจากกลิ่นและรสชาติที่ละมุนลงตัว จนหลายคนเรียกว่าเป็นทุเรียนผู้ดี

#ในแง่ของผู้ผลิต

- ออกดอกและติดผลดีกว่าหมอนทอง
- ถ้าต้นทุเรียนแตกใบอ่อนช่วงผลเล็กไม่ค่อยสลัดผล (ไม่แพ้ใบอ่อน)
- ทรงผลสวยงามสม่ำเสมอ (ทำผลไซส์ AB ได้ง่าย)
- อายุเก็บเกี่ยวผลสั้นกว่าหมอนทอง

​​​​​​​

#ในแง่ของผู้บริโภค
- เนื้อเป็นครีมละเอียด เส้นใยน้อย
- รสชาติหวานมันกลมกล่อม 
- กลิ่นอ่อนๆ หอมละมุน (กลิ่นพิเศษเฉพาะตัว)
- ผลสุกสม่ำเสมอพร้อมกันทั้งผล

**แต่พันธุ์นี้มีข้อควรระวังสำหรับผู้บริโภคคือ
1. ต้องแกะทานในระยะที่สุกพอดีจึงจะได้กลิ่นหอมและรสชาติที่อร่อย (หากแกะแบบสุกห่ามความหวานจะน้อยมาก แต่หากแกะสุกมากไปจะติดรสเปรี้ยว)

อ่านต่อ
สาว 23 ยันถูกหนุ่มขับเก๋ง ลวนลามพยายามขืนใจ เจ้าของรถโต้ เตรียมแจ้งความกลับ
Matichon
หนุ่มกลืนยาบ้า 40 เม็ด ตบตาด่านตรวจ ช็อกดับคาห้องขัง เมียโวยตำรวจไม่ช่วย
Matichon
ของขวัญ4ปีที่ดีสุดในชีวิต ดาราสาว - ไฮโซแฟนหนุ่มขอแต่งงาน เพื่อนๆแห่กรี๊ดยินดี
Khaosod
28ชีวิตระทึก โชเฟอร์หลับใน รถทัวร์ พุ่งตกร่องกลางถนน ผู้โดยสารดับ2
Khaosod
ONE’s Perfect Pair - The Ultimate Food Pairing Destination
Khaosod
"เจาะลึกเรื่องราว กว่าจะเป็นปุ๋ยอินทรีย์" กับ ดร. สมบัติ สุขมะณี
Khaosod
สารเติมเต็มใต้ตา ทางเลือกฟื้นฟูความสดใสของผิวรอบดวงตา
Khaosod
Elite Plus ฉลองครบ 11 ปี มอบทุนสนับสนุนการศึกษา ผ่านมูลนิธิบราเดอร์หลุยส์ ชาแนล
Khaosod
สอน. ดึงโดรน - AI วิเคราะห์ไร่อ้อย จ.อุดรธานี ลดต้นทุน - แก้ PM2.5 - ยกระดับการผลิตอุตฯ อ้อยและน้ำตาลไทย
Khaosod
ไวด์ เฟธ ฟู้ด โชว์ศักยภาพนวัตกรรมขนมข้าวอบกรอบ ในงาน THAIFEX – Anuga Asia 2025
Khaosod